วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กลอนอกหัก

อยากหยุดเวลา ไว้ตรงนี้

อยากหยุดเวลา ไว้ตรงนี้
ไม่อยากให้ 1 นาทีข้างหน้า มาถึง
เร็วเกินกว่า จะหาวิธีใด มาฉุดดึง
ไม่พอจะเอ่ย คำลึกซึ้ง ได้หมดใจ
ขอเวลา ให้ฉันบ้าง
อย่ารีบผลัก ความอ้างว้างมาให้
อย่าคิดง่าย ๆ ..แค่จากไป..
..คิดยาก ๆ บ้างได้ไหม..
คิดถึงสภาพฉันที่ไม่เหลือใคร.....แม้แต่เธอ.....

ขอขอบคุณ กลอนอกหัก โดยคุณ MIRIN 01 เว๊ปชุมชนคนบ้ากลอน จาก klonthai.com



เธอคงไม่มีวันกลับมา

เธอคงไม่มีวันกลับมา
จึงปล่อยฉันให้อ่อนล้าอยู่ตรงนี้
เจ็บปวดกับน้ำตาที่มี
ให้ฉันพร่ำเพ้อทุกนาทีโดยไม่เหลือใคร
แต่อยากให้เธอรู้นะคนดี
ว่าฉันคนนี้ยังคงรักเธอมากแค่ไหน
แม้ในวินาทีนี้ที่เธอคิดถึงใคร
แต่หนึ่งลมหายใจยังมีอยู่ต่อไปเพื่อคิดถึงเธอ

ขอขอบคุณ กลอนอกหัก จาก klonthai.com



คนใกล้ไม่เคยค่า แลมอง

คนใกล้ไม่เคยค่า แลมอง
คนไกลใยจับจอง ดูค่า
ไกลไม่ไร้เจ้าของ แต่ใกล้ใช่นา
คนไกลใยมิค่า ควรเจ้าแลมอง

ขอขอบคุณ กลอนอกหัก จาก klonthai.com



กระดาษทรายคือใจเธอ

กระดาษทรายคือใจเธอ
สากเสมอสำหรับฉัน
เมื่อลองสัมผัสมัน
แสบเจ็บคันอย่าบอกใคร

ขอขอบคุณ กลอนอกหัก จาก klonthai.com



ถ้อยคำ-สายตา

ถ้อยคำ-สายตา
เพียงเท่านี้เธอก็ฆ่าฉันได้
ถูก-ที่ยังหลงเหลือลมหายใจ
แต่เธอรู้จักคำนี้ไหม...ตายทั้งเป็น

ขอขอบคุณ กลอนอกหัก จาก klonthai.com





กระดาษทรายคือใจเธอ

กระดาษทรายคือใจเธอ
สากเสมอสำหรับฉัน
เมื่อลองสัมผัสมัน
แสบเจ็บคันอย่าบอกใคร

ขอขอบคุณ กลอนอกหัก จาก klonthai.com





เช็ดน้ำตา ที่ไหลมาที่ละหยด
แล้วจำจดความช้ำ แต่ครั้งหลัง

อดีตรัก ที่เคยได้พุกพัง
จะไปหวัง ให้หวนคืนอีกทำไม




ภาพสุดท้าย ตายจากไปในวันนั้น
ที่บอกกัน มันเพียงฝันอันสุขสม
ที่ผ่านมา อย่าได้คิดจิตโง่งม
หากขื่นขม จมน้ำตาอย่าติดใจ




เดินจากไป ไม่หันหลังดั่งไร้ค่า
เสียงร้องมาว่า อย่าจากพรากกันไป

ยังเย็นชา หาได้ฟังดั่งสะใจ
เดินจากไป ไม่เหลียวแลแยแสกัน




าวันนี้ ที่เธอช้ำน้ำคำรัก
เจ็บยิ่งนัก หักหาญใจไม่สุขสรรค์
จึงกลับมา หารักเก่าเรามีกัน
พูดคำนั้นมัน ไร้ค่าอย่าเอ่ยเลย ...


ขอขอบคุณข้อมูล กลอนอกหัก จาก : hilight.kapook.com





กลอนอกหัก เป็นเพียง...เส้นขนาน


คนบางคน.. ได้รักได้รู้จักกับใครสักคน แต่แล้วก็มีอันทำให้คนสองคนเป็นได้แค่เพียงเส้นขนาน ที่ไม่อาจบรรจบลงเอยกันได้ ด้วยเพราะใครสักคนอาจมีพันธะกับคนอีกคนก่อนอยู่แล้ว โดยไม่เคยบอกกล่าว...

คนบางคน.. เลือกที่จะเป็นเพียงเส้นขนานกับใครสักคน แม้ต้องแบกรับความรักที่ท่วมท้นในใจอย่างเจ็บปวด เงียบๆเพียงลำพัง แต่ด้วยตระหนักว่า การเป็นเพียงเส้นขนานกันในวันนี้ แม้จะทุกข์เพราะรักมักอยากอยู่ชิดใกล้กับคนที่รัก

คนบางคน.. ยึดมั่นในความรักแต่หากยึดมั่นในความถูกต้องเช่นเดียวกัน บนเส้นขนานที่อาจดูอ้างว้าง เจ็บปวดและว้าเหว่ สับสนและปวดร้าวในใจ แต่บนเส้นขนานที่เดียวดายเส้นนี้

คนบางคน.. เรียนรู้ เข้าใจในความรักมากขึ้นว่า ความรักหากได้มาด้วยการรดน้ำพรวนดินด้วยความผิดหรือการแย่งชิง กิ่งก้านที่แตกดอกออกผล ล้วนแล้วแต่ คือร่องรอยของความเจ็บปวดและความทุกข์

คนบางคน.. ยังคงยืนหยัด กับวันเวลาบนเส้นขนานสายนี้ที่เลือกแล้ว ด้วยเพราะความรักและใครสักคนยังคงอยู่ในใจตลอดเวลา อยู่กับคืนวันที่ผ่านไปและกับความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิต บนเส้นขนานที่เดียวดายเส้นนี้ วันหนึ่ง อาจมีใครสักคนร่วมทาง อาจเป็นใครคนเดิม อาจไม่ใช่หรืออาจไม่มี

คนบางคน.. อกกับตัวเองอย่างมีเกียรติและภาคภูมิใจว่า "เราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว" เพียงแค่นี้ ความสุขบนเส้นขนานก็ดูจะไม้ร้างลาและเดียวดายอย่างแน่นอน อาจดูเป็นเรื่องง่ายๆที่จะทำ แต่ไม่ง่ายนักกับการลงมือทำ แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่จะทำ ขอเพียงไม่ตามใจตัวเองอย่างเพลิดเพลิน

คนบางคน.. ก็รู้ว่าตัวเองทำได้ ในชีวิตของคนเรา เราอาจเคยเป็นทั้งผู้เลือกและผู้ถูกเลือก จะช้าหรือเร็ว จะมากหรือน้อย สักวันเราก็ต้องเลือก หากมีโอกาสได้เลือก จงเลือกให้รอบคอบและถูกต้องที่สุด อาจไม่ดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่อย่างน้อยเราก็ได้เลือกอย่างถูกต้องที่สุดแล้ว


ขอขอบคุณข้อมูล กลอนอกหัก จาก : hilight.kapook.com






กลอนอกหัก คนที่ใช่มากกว่า


เรามีเรื่องของคู่รัก 2 คู่มาเล่าให้ฟัง
ทั้ง 2 คู่ต่างก็เป็นคู่รักที่รักกันมาก

ดูแลเอาใจใส่ และเข้าอกเข้าใจกันมานาน 7- 8 ปี
เป็นคู่รักที่คนรู้จักต่างก็แน่ใจว่า …
อีกไม่นานก็คงได้ยินข่าวดี จากคู่รัก 2 คู่นี้แน่ๆ



แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์เดียวกันขึ้นกับคู่รักทั้ง 2 คู่
เมื่อฝ่ายชายก็ได้พบใครใหม่ ที่คิดว่า "ใช่" มากกว่า
ผู้หญิงคนใหม่ … ที่สวยกว่าและมีเสน่ห์มากกว่า
ฝ่ายชายตัดสินใจคบดูใจด้วย โดยที่ยังไม่เลิกกับคู่รักเดิม …



ยิ่งคบเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่ …
ผู้หญิงคนใหม่ที่คบกันมา 2 - 3 เดือน
กับคนรักคนเดิมใน 7- 8 ปีที่ผ่านมา
เริ่มถ่วงดุลน้ำหนักที่เท่ากัน บนตาชั่งการตัดสินใจขอ งเขา
ทายสิว่า ชายหนุ่มทั้งคู่เลือกใคร
เขาทั้งคู่เลือกผู้หญิงคนใหม่ …



สิ่งที่ผู้ชายทั้งคู่ต่างหยิบยกมากล่าวถึงก็คือ
คนรักคนเดิมที่เคยคบด้วย
มีอะไรบางอย่างที่เขาไม่ค่อยชอบใจ
อาจจะเป็นนิสัยส่วนตัวบางประการ
แต่ในขณะที่คบกันมานั้น …
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาพอรับได้
เมื่อเทียบกับความดีอื่นๆ ที่เธอทำให้เขา






บางที . . . หัวใจก็ยอมเจ็บ
เพียงแลกกับ ความสุขเล็กๆ . . . มาเก็บไว้

บางที . . . เหนื่อยจนลุกขึ้นไม่ไหว
แต่ก็ยังพอใจ . . . กับสิ่งที่เป็น

บางที . . . แม้จะลำบากยากเข็ญ
แต่ก็ยอมเป็น . . . เบี้ยล่างหัวใจเธอ

อาการแบบนี้ใครไม่เป็น . . . ไม่รู้สึกจริงไหม



มันมีเหตุผลหลายอย่าง
ที่เราจำเป็นต้องหักห้ามใจไม่ให้รักใครสักคน
เหตุผลของคนเราย่อมไม่เหมือนกัน
บางคนอาจต้องห้ามใจเพราะรู้ตัวว่ามันคงเป็นไปไม่ได้

บางคนอาจต้องห้ามใจ
เพราะกลัวใจตัวเองจะถลำลึกและเจ็บปวดมากไปกว่านี้
บางคนอาจต้องห้ามใจเพราะมีคนที่รักคนที่เรารักมาก่อน
และคนคนนั้นก็คือคนที่เรารู้จัก
และเราก็ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของคนคนนั้น
บางคนอาจต้องห้ามใจเพราะเขาอาจไม่ได้คิดและรู้สึกเหมือนกับเรา

ทุกข์ทรมานแค่ไหนที่เรารักเขา
แต่ต้องพยายามฝืนใจถอยห่างออกมา
เราต้องเงียบ ต้องเฉยชา ต้องเลี่ยง ต้องหลบหน้า
ต้องทำหน้าตาบึ้งตึงใส่
เพื่อจะย้ำเตือนให้ตัวเองไม่ต้องรู้สึกอะไรใดๆ กับเขา
มันเจ็บแทบบ้าที่ต้องทำร้ายตัวเองด้วยวิธีการนี้
แม้จะดูเป็นวิธีการโง่ๆ
แต่หากจำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องตัวเอง
เพื่อไม่ให้ใจของตัวเองต้องบาดเจ็บ


การถอยห่างจะช่วยสอนให้เราได้เรียนรู้ว่า
ยิ่งเรายึดติด อยากได้ อยากครอบครอง
ยิ่งทำให้เราอ่อนแอและแพ้ภัยตัวเอง
หากไม่ได้เขามาเป็นคนรักของเรา

ขอเพียงแค่เขาได้เข้าใจในเหตุผลข้อนี้
อย่าได้เข้าใจว่าเราโกรธหรือเกลียดเขาถึงต้องแสดงท่าทีเฉยชาใส่
คนเจ็บปวดคนนี้ก็จะได้มีแรงพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมาเข้มแข็งได้อีกครั้ง
พร้อมที่จะใช้ชีวิตที่เดินบนทางที่เหมาะที่ควร
แม้ว่าการเดินทางจะมีอุปสรรคมากบ้างน้อยบ้างก็ตามที




หลังจากที่เราเข้มแข็งได้แล้ว
ห้ามใจไม่ได้รักเขาได้แล้ว
ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
คิดและรู้สึกกับเขาได้อย่างคนธรรมดาสามัญที่รู้สึกดีต่อกัน
ไม่ต้องรู้สึกแบบพิเศษที่แอบแฝงด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา
และสามารถอยู่บนโลกใบเดียวกับเขาได้อย่างจริงใจที่สุด
เป็นธรรมชาติมากที่สุดโดยไม่ต้องกดดันอะไร


หวังว่าเขาคงเข้าใจในเหตุผลที่เรากระทำลงไป
เจ็บนะไม่ใช่ไม่เจ็บ
แต่สักพักก็คงจะหายดี
แล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม



อย่าหลอกตัวเองต่อไป ว่า …
น้ำตาจะล้างดวงตาของเธอ ให้มองเห็นชัดเจนขึ้น

เพราะในดวงตาที่พร่ามัว ไปด้วยน้ำตาอย่างนั้น
เธอจะมองเห็นอะไรได้ …
นอกจากความทรงจำหม่นมัว
และความฝันอันมืดมิด …

อย่ากล่าวโทษว่า … ตัวเองไม่ดี
ในความรัก ไม่มีใคร ดี หรือ ไม่ดี
มีแค่ "รัก" หรือ "ไม่รัก"
ต่อให้เธอทำดีแค่ไหน
ถ้าลองได้หมดรักแล้ว … ก็ไม่มีทางจะดีไปได้



กลอนเพื่อน

ไม่มีแล้วคนนั่งกินข้าวตรงหน้า
ไม่มีแล้ววาจาอันสดใส
ไม่มีแล้วคำปลอบโยนด้วยหัวใจ
ไม่มีแล้วไม่มีคัยไม่มีเทอ
ไม่มีคนร่วมตากแดดร่วมตากฝน
ไม่มีคนคอยเคียงข้างอยู่เสมอ
ไม่มีคนทุกวันเห็นทุกวันเจอ
ไม่มีเทอฉันจะสุขใด้อย่างไร
ลาแล้วเพื่อนวันวานอันหวานฉ่ำ
ลาแล้วจำไมตรีอันดีใว้
พวกเราเป็นเพื่อนกันตลอดไป
ลาแล้วใจ ลาแล้วจาก ไม่อยากลา
ไม่มีแล้วโรงเรียนระเบียบจัด
ไม่มีแล้วโต๊ะเพิ่งขัดอยากให้เขียน
ไม่มีแล้วฝ่ายปกครองไล่นักเรียน
ไม่มีแล้วพวกท้าเซียนเกรียนทุกคน
ไม่มีแล้วสนามบาสดูเพื่อนเล่น
ไม่มีแล้วตอนเย็นๆตั้งวงแฉ
ไม่มีแล้วพวกหน้าวอกแป้งเด็กแคร์
ไม่มีแล้วป้าแก่ๆขายข้าวแกง
ไม่มีแล้วสนามบอลที่เคยใช้
ไม่มีแล้วสปอตไลท์ที่ไร้แสง
ไม่มีแล้วใอ้พวกชอบแสดง
ไม่มีแล้วคัยคอยแกล้งเมื่อจากกัน
ไม่มีแล้ววันเวลาแสนสนุก
ไม่มีแล้วคืนแสนสุขที่แปรผัน
ไม่มีแล้วเพื่อนสนิทนิจนิรันดร์
ไม่มีแล้วเพื่อนกันตลอดไป  คำว่าเพื่อน มีค่าหนัก กว่าคำไหน
คำว่าเพื่อน มีค่าหนัก กว่าคำไหน
คำว่าเพื่อน คือค่าใจ และค่าจิต
คำว่าเพื่อน ควรค่า คะนึงคิด
คำว่าเพื่อน คือมิตร ตลอดกาล
เพื่อนกันตลอดไป
 เพื่อนช่วยเพื่อนตลอดไปได้เสมอ
เพื่อนจะเผลอเพื่อนจะพลาดซักแค่ไหน 
   ความเป็นมิตรยังติดอยู่คู่แรงใจ          
ให้ก้าวไปในสิ่งที่ต้องการ
เพื่อนจะทุกข์เสียน้ำตาและร้องไห้
ความห่วงใยที่มีนั้นยังคอยสาน
ประกอบใจของเพื่อนนี้ที่ร้าวราน
พาพ้นผ่านความทุกข์ช้ำที่ค้ำใจ
แม้เวลาเนิ่นนานผ่านจากนี้
แต่สิ่งดีจะยังอยู่ไม่หวั่นไหว
ถึงเวลาจะผ่านนานเท่าไร
แต่จิตใจมีเพื่อนตลอดมา
จะไม่ลืมเพื่อนคนนี้ชั่วชีวิต
อยู่เป็นมิตรคอยดูแลและรักษา
ให้ความรักคงอยู่ตลอดเวลา
มิตรภาพจะล้ำค่าตลอดไป
เพื่อจะทุกข์ เสียน้ำตา และร้องไห้
ความห่วงใย ทีมีนั้น ยังคอยสาน
ประกอบใจ ของเพื่อนนี้ ที่แหลกราญ
พาพ้นผ่าน ความทุกข์ช้ำ ที่ค้ำใจ
เพื่อนของฉัน....
อยู่ตรงนั้นสบายดีไหม...
เมื่อขอบฟ้ากว้างเราห่างไกล...
เธอจะเป็นอย่างไรบ้างคนดี...
ก็ได้แต่ส่งใจให้...
มันลอยไปหาเธอทุกที่... 
เชื่อเถอะนะว่าทุกทุกวินาที...
เธอยังคนมีฉัน..
คนนี้อยู่ในใจ...
เพื่อนช่วยเพื่อน ตลอดไป ได้เสมอ
เพื่อนจะเผลอ เพื่อนจะพลาด ซักแค่ไหน
ความเป็นมิตร ยังติดอยู่ คู่แรงใจ
ให้ก้าวไป ในสิ่ง ที่ต้องการ
เพื่อจะทุกข์ เสียน้ำตา และร้องไห้
ความห่วงใย ทีมีนั้น ยังคอยสาน
ประกอบใจ ของเพื่อนนี้ ที่แหลกราญ
พาพ้นผ่าน ความทุกข์ช้ำ ที่ค้ำใจ
แม้เวลา เนิ่นนาน ผ่านจากนี้
แต่สิ่งดี จะยังอยู่ ไม่หวั่นไหว
ถึงเวลา จะผ่าน นานเท่าไร
แต่จิตใจ มีเพื่อน ตลอดมา
วันเวลาดีดีที่เธอเคยมอบให้
ฉันจะเก็บไว้ในใจ.. เสมอ
แม้วันนี้จะต้องไกล .. ไปจากเธอ
แต่ซักวันก็จะเจอ.. กันอีกครา
ภาพที่เธอเล่นหัว โกรธงอนฉัน
ภาพวันนั้นที่ฉันมีปัญหา
ภาพที่เธอช่วยเหลือ..กันเรื่อยมา
จะจดจำทุกเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด
เพื่อนของฉัน....
อยู่ตรงนั้นสบายดีไหม...
เมื่อขอบฟ้ากว้างเราห่างไกล...
เธอจะเป็นอย่างไรบ้างคนดี...
ก็ได้แต่ส่งใจให้...
มันลอยไปหาเธอทุกที่... 
เชื่อเถอะนะว่าทุกทุกวินาที...
เธอยังคนมีฉัน..
คนนี้อยู่ในใจ...
คิดถึงเธออยู่เสมอ...
แม้ไม่ได้เจอนานแค่ไหน...
ความผูกพันธ์..ความหวังดี..
ความห่วงใย...
ยิ่งทวีขึ้นใจไม่จืดจาง


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1171342#ixzz1FFJldF5M

กลอนร๊ากกก

กฎหายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และการละเมิดลิขสิทธิ์

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในโลกของสื่อยุคเก่า ข้อเขียน บทความ จำนวนมาก ที่ถึงแม้จะผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนจากบรรณาธิการแล้ว ก็ยังส่งผลความเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติยศ ของบุคคลอื่น โดยที่บุคคลเหล่านั้นน้อยราย ที่จะใช้กฎหมายปกป้องตัวเอง
     ในโลกของสื่อใหม่ การสื่อสารที่รวดเร็ว ฉับไว โดยก้าวข้ามขั้นตอนการกลั่นกรองของบรรณาธิการในฉับพลันทันที ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะก่อความเสียหายให้กับบุคคลอื่นมากยิ่งขึ้น
      มีผู้คนจำนวนมาก ที่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรคอมพิวเตอร์ ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในเชิงวาทกรรม บิดเบือนข้อมูล แพร่ภาพหรือตัดต่อภาพอนาจาร ฉ้อโกง ฟอกเงิน ฯลฯ  โดยที่ไม่สามารถจัดการป้องกันได้ ด้วยข้อจำกัดของกฎหมายว่าด้วยความผิดทางอาญา ที่มิได้ครอบคลุมถึง
      อำนาจการสื่อสารในไซเบอร์สเปซที่จะใช้คอมพิวเตอร์เป็นช่องทางในการก่ออาชญากรรม จึงเป็นอำนาจที่ไร้ขอบเขต ในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงจิตสำนึกในเชิงจริยธรรมที่อ่อนแออย่างยิ่ง
      พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ ๒๕๕๐ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันนี้ (๑๘) น่าจะเป็นความหวังของบรรดาเหยื่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ในการใช้เพื่อต่อสู้กับการถูกกระทำย่ำยี โดยโจรคอมพิวเตอร์ได้
       ๕ ฐานความผิดอาชญากรคอมพิวเตอร์
        ๑.แฮกเกอร์ (Hacker)
         มาตรา ๕ "ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดิอน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
         มาตรา ๖ "ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
          มาตรา ๗ " ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
           มาตรา ๘ "ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ โดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็คทรอนิคส์เพื่อดักรับไว้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้ เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ"
คำอธิบาย  ในกลุ่มความผิดนี้ เป็นเรื่องของแฮกเกอร์ (Hacker) คือ การเจาะเข้าไปใน"ระบบ"คอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล ซึ่งระดับความร้ายแรงของโทษ ไล่ขึ้นไปจากการใช้ mail ของคนอื่น เข้าไปในระบบ  หรือเผยแพร่ mail ของคนอื่น การเข้าไปใน "ข้อมูล" คอมพิวเตอร์ ของบุคคลอื่น จนกระทั่งการเข้าไปจารกรรมข้อมูลส่วนบุคคล โดยวิธีการทางอิเล็คทรอนิกส์ เช่น ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการค้า (Corporate Eepionage)
        ๒.ทำลายซอฟท์แวร์
           มาตรา ๙ "ผู้ใดทำให้เสียหาย  ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
            มาตรา ๑๐ "ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ โดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
คำอธิบาย เป็นลักษณะความผิดเช่นเดียวกับ ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ในประมวลกฎหมายอาญา แต่กฎหมายฉบับนี้หมายถึงซอฟท์แวร์ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์
         ๓ ปกปิด หรือปลอมชื่อส่ง Mail
             มาตรา ๑๑ "ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น โดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินไม่เกินหนึ่งแสนบาท"
คำอธิบาย  เป็นการส่งข้อมูล หรือ Mail โดยปกปิดหรือปลอมแปลงชื่อ รบกวนบุคคลอื่น เช่น จดหมายลูกโซ่ ข้อมูลขยะต่างๆ
        ๔.ผู้ค้าซอฟท์แวร์ สนับสนุนการทำผิด
            มาตรา ๑๓ "ผู้ใดจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือ ในการกระทำความผิดตามมาตรา ๕ - ๖ - ๗ - ๘ - ๙ - ๑๐ และ ๑๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
คำอธิบาย เป็นความผิดที่ลงโทษผู้ค้าซอฟท์แวร์ ที่นำไปใช้เป็นเครื่องมือกระทำความผิดตาม มาตรา ๕ - ๑๑
        ๕.ตัดต่อ เผยแพร่ ภาพอนาจาร   
            มาตรา ๑๖ "ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไป อาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฎเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
             ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่ง เป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยสุจริต ผู้กระทำไม่มีความผิด
คำอธิบาย เป็นเรื่องของการตัดต่อ หรือตกแต่งภาพดารา ภาพบุคคลอื่นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในลักษณะอนาจาร และเผยแพร่ไปยังบุคคลที่สาม คำว่าประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความเสียหายนั้น เพียงเห็นภาพก็น่าเชื่อแล้ว ไม่จำเป็นต้องยืนยันด้วยหลักฐาน หรือบุคคลโดยทั่วไปจะต้องเข้าใจในทันทีว่าบุคคลที่สามนั้นจะต้องได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน จากการเผยแพร่ภาพนั้น
             สำหรับผู้ที่ได้รับภาพ ไม่มีความผิด ยกเว้นจะ Forward หรือเผยแพร่ต่อ ความผิดตามมาตรานี้เป็นความผิดอันยอมความได้
             ถึงแม้จะมีกฎหมายที่ตราขึ้นไว้เฉพาะความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แล้วก็ตาม แต่ความผิดในลักษณะนี้ไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า ซึ่งสามารถรู้ตัวผู้กระทำความผิดได้ในฉับพลัน เช่นเดียวกับความผิดอาญาโดยทั่วไป นอกจาก "รอยเท้าอิเล็กทรอนิกส์" (electronic footprints) อันได้แก่ IP หรือร่องรอยที่ทิ้งไว้ในซอฟท์แวร์
   แต่ถึงอย่างไร นับจากวันนี้(๑๘) อาชญากรคอมพิวเตอร์ ก็มิอาจหลบเร้นกายได้อีกต่อไป

ผังงานคอมพิวเตอร์

หลักการเขียนผังงานระบบ ผังงานระบบ คือ รูปภาพหรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนลำดับ หรือขั้นตอนในโปรแกรมรูปภาพหรือสัญลักษณ์ที่ใช้เป็นเอกลักษณ์ และแทนความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยทั่วไปผังงานคอมพิวเตอร์แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่
1. ผังงานระบบ(System Flowchat)
เป็นผังงานที่แสดงถึงขั้นตอนการทำงานภายในระบบหนึ่ง ๆ โดยจะแสดงถึงความเกี่ยวข้องของส่วนที่สำคัญต่าง ๆ ในระบบนั้น เช่น เอกสารเบื้องต้น หรือสื่อบันทึกข้อมูลที่ใช้อยู่เป็นอะไร และผ่านไปยังหน่วยงานใด มีกิจกรรมอะไรในหน่วยงานนั้น แล้วจะส่งต่อไปหน่วยงานใด เป็นต้น ดังนั้นผังงานระบบอาจเกี่ยวข้องกับคน วัสดุ และเครื่องจักร ซึ่งแต่ละจุดจะประกอบไปด้วย การนำข้อมูลเข้า วิธีการประมวลผลและการแสดงผลลัพธ์ (Input – Process - Output) ว่ามาจากที่ใดอย่างกว้าง ๆ จึงสามารถเขียนโปรแกรมจากผังงานระบบได้
2. ผังงานโปรแกรม(Program Flowchat) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ผังงาน
ผังงานประเภทนี้แสดงถึงขั้นตอนของคำสั่งที่ใช้ในโปรแกรม ผังงานนี้อาจสร้างจากผังงานระบบโดยผู้เขียนผังงานจะดึงเอาแต่ละจุดที่เกี่ยวข้องการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏในผังงานระบบมาเขียน เพื่อให้ทราบว่าถ้าจะใช้คอมพิวเตอร์ทำงานในจุดนั้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตามต้องการ ควรที่จะมีขั้นตอนคำสั่งอย่างไร และจะได้นำมาเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำงานต่อไป
การใช้งานผังงานระบบ
เพื่อให้ทราบถึงความเกี่ยวพันของระบบตังแต่เริ่มต้น ว่ามีการปฏิบัติแต่ละขั้นตอนอย่างไร ใช้วิธีการอะไรบ้าง เหมาะสำหรับผู้บริหาร ผู้วิเคราะห์ระบบ และผู้เขียนโปรแกรม จะไดทราบถึง ความสัมพันธ์ ของแผนกต่าง ๆ
ตัวอย่าง ผังงานระบบและผังงานโปรแกรมของการคำนวณพื้นที่สามเหลี่ยม 100 รูป

ประโยชน์และข้อจำกัดของผังงานระบบ
ผังงานระบบเป็นเอกสารประกอบโปรแกรม ซึ่งจะช่วยให้การศึกษาลำดับขั้นตอนของโปรแกรมง่ายขั้น จึงนิยมเขียนผังงานระบบประกอบการเขียนโปรแกรม ด้วยเหตุผลดังนี้
1 คนส่วนใหญ่สามารถเรียนรู้และเข้าใจผังงานระบบได้ง่าย เพราะผังงานระบบไม่ขั้นอยู่กับภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาใดภาษาหนึ่งโดยเฉพาะ
2 ผังงานระบบเป็นการสื่อความหมายด้วยภาพ ทำให้ง่ายและสะดวกต่อการพิจารณาถึงลำดับข้นตอนในการทำงาน ซึ่งน่าจะดีกว่าบรรยายเป็นตัวอักษร การใช้ข้อความหรือคำพูดอาจจะสื่อความหมายผิดไปได้
3 ในงานโปรแกรมที่ไม่สลับซับซ้อน สามารถใช้ผังงานระบบตรวจสอบความถูกต้องของลำดับขั้นตอนได้ง่าย ถ้ามีที่ผิดในโปรแกรมจะแก้ไขได้สะดวกและรวดเร็วขั้น
4 การเขียนโปรแกรมโดยพิจารณาจากผังงานระบบ สามารถทำให้รวดเร็วและง่ายขั้น
5 การบำรุงรักษาโปรแกรมหรือการเปลี่ยนแปลงแก้ไขโปรแกรมให้มีประสิทธิภาพถ้าดูจากผังงานระบบจะช่วยให้สามารถทบทวนงานในโปรแกรมก่อนปรับปรุงได้ง่ายขั้น
ข้อจำกัดของผังงานระบบ
ผู้เขียนโปรแกรมบางคนไม่นิยมการเขียนผังงานระบบก่อนที่จะเขียนโปรแกรมเพราะ
เสียเวลาในการเขียนเป็นรูปภาพหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่น ๆ ได้แก่
1 ผังงานระบบเป็นการสื่อความหมาระหว่างบุคคลต่อบุคคลมากกว่าที่จะสื่อความหมายระหว่างบุคคลกับเครื่อง เพราะผังงานระบบไม่ขึ้นอยู่กับภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาใดภาษาหนึ่ง ทำให้เครื่องไม่สามารถรับและเข้าใจว่าในผังงานระบบนั้นต้องการให้ทำอะไร
2 บางครั้งเมื่อพิจารณาจากผังงานระบบ จะไม่สามารถทราบได้ว่า ขั้นตอนการทำงานใดสำคัญกว่ากัน เพราะทุก ๆ ขั้นนอนจะใช้รูปาภพหรือสัญลักษณ์ในลักษณะเดียวกัน
3การเขียนผังงานระบบเป็นการสิ้นเปลือง เพราะจะต้องใช้กระดาษและอุปกรณ์อื่น ๆ ประกอบการเขียนภาพ บางครั้งการเขียนผังงานระบบอาจจะต้องใช้กระดาษมากกว่า 1 แผ่นทั้ง ๆ ที่การอธิบายงานเดียวกันจะใช้เนื้อที่เพียง 3-4 บรรทัดเท่านั้น
4 ผังงานระบบจะมีขนาดใหญ่ ถ้าโปรแกรมที่พัฒนาเป็นงานใหญ่ ทำให้ผังงานระบบแลดูเทอะทะไม่คล่องตัว และถ้ามีการปรับเปลี่ยนผังงานระบบจะทำได้ยาก บางครั้งอาจจะต้องเขียนผังงานขั้นใหม่
5 ในผังงานระบบจะบอกขั้นตอนการปฏิบัติงานว่าเป็นลำดับอย่างไร ปฏิบัติงานอะไรแต่จะไม่ระบุให้ทราบว่าทำไมจึงต้องเป็นลำดับและต้องปฏิบัติงานอย่างนั้น
6 ในภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันในปัจจุบัน เช่น ภาษาซี ผังงานระบบไม่สามารถแทนลักษณะคำสั่งในภาษาได้ชัดเจน ตรงไปตรงมา
สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเขียนผังงานระบบ
การเขียนผังงานระบบต้องใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ นำมาเรียงกัน เพื่อแสดงลำดับขั้นตอนการทำงาน โดยมีลูกศรเชื่อมระหว่างภาพต่าง ๆ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเขียนผังงานระบบที่นิยมใช้กันนั้นเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยงานสถาบันมาตรฐานแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (American National Standard Institute : ANSI) และองค์การมาตรฐานนานาชาติ
(International Standard Organization : ISO)หน่วยงานดังกล่าว ทำหน้าที่รวบรวมและกำหนดสัญลักษณ์มาตรฐานที่จะใช้เขียนผังงานระบบ ดังนี้
ตารางที่ 6.1 แสดงสัญลักษณ์และความหมายของผังงานระบบ

หลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์งาน
การวิเคราะห์งานหรือการวิเคราะห์ปัญหา นับวาเป็นหัวใจสำคัญของการเขียนโปรแกรมหรือชุดคำสั่ง ต่าง ๆ เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน การวิเคราะห์งานเป็นการศึกษาถึงลักษณะและรายละเอียดของปัญหาเกี่ยวกับงานที่ต้องการเขียนโปรแกรมเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์นำมาศึกษา วิเคราะห์และดีความเพื่อช่วยให้เข้าใจง่ายนั้นได้ดียิ่งขั้นเช่น ต้องการให้เครื่องทำงานอะไร ลักษณะผลลัพธ์ที่ต้องการแสดง วิธีการประมวลผลที่ต้องใช้ และข้อมูลที่จะต้องป้อนเข้าไป
กล่าวโดยสรุป การวิเคราะห์งานจะเป็นการศึกษาผลลัพธ์(Output) ข้อมูลที่นำเข้า (Input) และวิธีการประมวลผล(Process) รวมทั้งการกำหนดชื่อตัวแปร (Variable) ที่จะใช้ในโปรแกรมนั่นเองวิธีการวิเคราะห์งานให้ได้ผลดีนั้นมีหลายแบบ แต่หลักเกณฑ์ใหญ่ ๆ ที่นิยมใช้กันอย่างทั่วไปสามารพแยกเป็นข้อ ๆ ด้ามลำดับดังต่อไปนี้
1 สิ่งที่โจทย์ต้องการ หมายถึง สิ่งที่ต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำให้ เช่น ต้องการให้คำนวณคะแนนเฉลี่ยของนักศึกษา ต้องการให้คำนวณเงินเดือนและค่าแรง เป็นต้นงานแต่ละชิ้นอายต้องกานใช้เครื่องทำงานให้มากว่าหนึ่งอย่าง ซึ่งควรจะเขียนไว้เป็นข้อ ๆ ให้ชัดเจน การพิจารณาถึงสิ่งที่โจทย์ต้องการเป็นส่วนที่สำคัญมาก เพราะถ้าไม่ทราบก็ไม่สามารถจะทำขั้นตอนต่อไปได้เลย หรือถ้าเข้าใจส่วนนี้ผิดก็จะทำให้งานขั้นตอนต่อไปผิดหมด
2 ผลลัพธ์ที่ต้องแสดง (Output) หมายถึง การวิเคราะห์ลักษณะของงาน หรือรูปแบบผลลัพธ์ที่ต้องการให้คอมพิวเตอร์แสดงออกมาว่าควรจะมีลักษณะอย่างไร มีรายละเอียดที่ต้องการให้แสดงในรายงานมากน้อยเพียงใด หรือรายละเอียดชนิดใดที่ไม่ต้องการให้แสดงออกมาในรายงาน ในกรณีนี้เป็นหน้าที่ของผู้เขียนโปรแกรมเองว่าจะต้องการรูปแบบรายงานออกมาโดยมีรายละเอียดที่จำเป็นและสวยงามเพียงใด เนื่องจากรายงานหรือผลลัพธ์นี้มีความสำคัญต่อผู้บริหาร เนื่องจากผู้บริหารจะใช้รายงานหรือผลลัพธ์ไปช่วยในการตัดสินใจวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้
3 ข้อมูลที่ต้องนำเข้า (Input) หมายถึง ข้อมูลที่ต้องป้อนเข้ามาเพื่อใช้ในการประมวลผล ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องจากการวิเคราะห์ลักษณะของผลลัพธ์ คือ เมื่อพิจารณาถึงลักษณะของ Output ที่แน่นอนแล้ว ข้อมูลที่ต้องนำเข้าไปก็ควรจะพิจารณาให้เหมาะสมกับผลลัพธ์ที่ต้องการแสดงด้วย ทั้งนี้อาจจะต้องพิจารณาถึงขั้นตอนในการประมวลผลควบคู่ไปด้วย
4 ตัวแปรที่ใช้ (Variable) หมายถึง การกำหนดชื่อแทนความหมายของข้อมูลต่าง ๆ เพื่อความสะดวกในการอ้างถึงข้อมูลนั้น และการเขียนโปรแกรมด้วยการตั้งชื่อตัวแปรที่ใช้ควรคำนึงถึงความหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล การตั้งขื่อตัวแปรนี้จะขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ของภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เพราะภาษาคอมพิวเตอร์แต่ละภาษามีกฎเกณฑ์และความสามารถในการตั้งตัวแปรแตกต่างกันไป แต่โดยทั่ว ๆ ไป การตั้งชื่อตัวแปรจะพิจารณาความหมายของข้อมูลว่าตรงกับคำใดในภาษาอังกฤษ แล้วนำมาตัดแปลงหรือย่อให้เข้ากับหลักเกณฑ์ของภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้
5 วิธีการประมวลผล (Processing) หมายถึงวิธีการประมวลผลโดยแสดงขั้นตอนต่าง ๆ ที่ต้องทำตามาลำดับ เริ่มจาการรับข้อมูลนำไปประมวลผลจนได้ผลลัพธ์ ขั้นตอนนี้จะต้องแสดงการทำงานที่ต่อเนื่องตามลำดับ จึงต้องจัดลำดับก่อนหลังให้ถูกต้อง ในขั้นตอนของวิธีการนี้ถ้ายิ่งกระทำให้ละเอียดก็จะช่วยในการเขียนโปรแกรมยิ่งง่ายขึ้น
หลักทั่วไปในการเขียนผังงานระบบ
การเขียนผังงานระบบอาจจะเขียนลงในกระดาษที่มีแบบฟอร์มมาตรฐานที่เรียกว่า Flowchart Worksheet ซึ่งจะช่วยให้เขียนผังงานระบบได้สะดวกขึ้น ประหยัดเนื้อที่ ง่ายต่อการติดตามจุดต่อและดูเรียบร้อย หรือจะใช้กระดาษธรรมดาเขียนก็ได้ การเขียนรูปหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในผังงานระบบ จะใช้ Flowchart Template ซึ่งเป็นแผ่นพลาสติกที่มีช่องเจาะเป็นรูปสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของผังงานระบบเข้าช่วยก็ได้ ปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้เขียนผังงานระบบที่มีความสวยงามและเป็นมาตรฐานมากยิ่งขึ้น
ในการเขียนผังงานระบบที่ดี ควรมีหลักเกณฑ์ ดังนี้
1 มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดการทำงานเพียงจุดเดียวในหนึ่งผังงานระบบ
2 มีทางออกจากสัญลักษณ์ใด ๆ เพียงทางเดียว ยกเว้นสัญลักษณ์แสดงการตัดสินใจ สามารถมีทางออกมาตั้งแต่ 2 ทางได้
3 มีการเข้าสู่สัญลักษณ์ใด ๆ เพียงทางเดียว ถ้าต้องการกระทำกระบวนการเดียวกันควรใช้สัญลักษณ์ตัวเชื่อม
4 ทิศทางลำดับของขั้นตอน ควรจะเริ่มจากบนลงล่าง ซ้ายไปขวา
5 ข้อความที่บรรจุในสัญลักษณ์ควรสั้น กะทัดรัด เข้าใจง่าย
6 ขนาดของสัญลักษณ์ที่ใช้ควรมีขนาดที่เหมาะสม สวยงาม
7 เส้นทางที่ใช้ในผังงานควรเป็นระเบียบเรียบร้อย ชัดเจน ไม่พันกันไปมาจนไม่สามารถทราบจุดตั้งต้นและจุดสิ้นสุดที่แน่นอนได้
แบบทดสอบและกิจกรรมการฝึกทักษะ
บทที่ 6 หลักการเขียนผังงานระบบ
ตอนที่ 1
1. จงอธิบายความหมายของผังงานระบบ
ตอบ เป็นผังงานที่แสดงถึงขั้นตอนการทำงานภายในระบบงานหนึ่ง ๆ โดยจะแสดงถึงความเกี่ยวข้องของส่วนที่สำคัญต่าง ๆ ในระบบนั้น
2. จงอธิบายประโยชน์และข้อจำกัดของผังงานระบบ
ตอบ 1. คนส่วนใหญ่สามารถเรียนรู้และเข้าใจผังงานระบบได้ง่าย
2. เป็นการสื่อความหมายด้วยภาพ ทำให้ง่ายและสะดวกต่อการพิจารณาถึงลำดับขั้นตอนการทำงาน
3. ในโปรแกรมที่ไม่สลับซับซ้อน สามารถใช้ผังงานระบบตรวจสอบความถูกต้องของลำดับขั้นตอนได้ง่าย
4. การเขียนโปรแกรมโดยพิจารณาจากผังงานระบบ ทำให้รวดเร็วและง่ายขึ้น
5. การบำรุงรักษาโปรแกรมหรือการเปลี่ยนแปลงแก้ไขโปรแกรมให้มีประสิทธิผล
3. ผลลัพธ์ที่ต้องแสดง หมายถึง อะไร
ตอบ การวิเคราะห์ลักษณะของงาน หรือรูปแบบผลลัพธ์ที่ต้องการให้คอมฯแสดงออกมาว่าควรจะมีลักษณะอย่างไร มีรายละเอียดที่ต้องการให้แสดงในรายงานมากน้อยเพียงใด
4. ข้อมูลนำเข้า หมายถึง อะไร
ตอบ ข้อมูลที่ต้องป้อนเข้ามาเพื่อใช้ในการประมวลผล ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องจากการวิเคราะห์ลักษณะของผลลัพธ์
5. ตัวแปรที่ใช้ หมายถึงอะไร
ตอบ การกำหนดชื่อแทนความหมายของข้อมูลต่าง ๆ เพื่อความสะดวกในการอ้างอิงข้อมูลนั้น การตั้งชื่อตัวแปรจะต้องขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ของภาษาคอมฯใช้ในการเขียนโปรแกรม
ตอนที่ 2
1. System Flowchart
>> ผังงานระบบ เป็นผังงานที่แสดงถึงขั้นตอนการทำงานภายในระบบหนึ่ง ๆ
2. Program Flowchart
>> ผังงานโปรแกรม เป็นการแสดงถึงขั้นตอนของคำสั่งที่ใช้ในโปรแกรม
3. Process
>> วิธีการประมวลผล
4. Variable
>> การกำหนดชื่อตัวแปร
5. Flowchart Worksheet
>> การเขียนผังงานลงในกระดาษที่มีแบบฟอร์มมาตรฐาน

ความสัมพันธ์ของระบบเลขฐานสองกับระบบคอมพิวเตอร์

ระบบเลขฐาน
เลขฐาน
หมายถึง กลุ่มข้อมูลที่มีจำนวนหลัก (
Digit) ตามชื่อของฐาน

นั้นๆเช่น เลขฐานสอง ฐานแปด และฐานสิบ
ประกอบด้วยข้อมูลตัวเลขจำนวนสองหลัก (
0-1) แปดหลัก
(0-7) และสิบหลัก (0-9) ตามลำดับ ดังรูป
n ระบบคอมพิวเตอร์มีการใช้ระบบเลขฐาน4
แบบ ประกอบด้วย
     1
).เลขฐานสอง (Binary
Number)
     2).เลขฐานแปด (Octal Number)
     3).เลขฐานสิบ (Decimal
Number)
     4).เลขฐานสิบหก (Hexadecimal
Number)
เลขฐานสอง
n คือตัวเลขที่มีค่าไม่ซ้ำกันสองหลัก
(
0 และ 1) เป็นเลขฐานเดียวที่เข้ากันได้กับ
Hardware ของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง เพราะการใช้เลขฐานอื่น
จะสร้างความยุ่งยากให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างมาก เช่น
เลขฐานสิบมีตัวเลขที่เป็นสถานะที่ต่างกันถึง
10 ตัว ในขณะที่ระบบไฟฟ้ามีเพียง2 สถานะ ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งๆมีเพียงสถานะเดียวเท่านั้น
แต่ละหลักของเลขฐานสอง เรียกว่า
Binary Digit (BIT)
เลขฐานแปด
n
เลขฐานแปด มีความสัมพันธ์กับเลขฐานสอง คือ
เลขฐานสองจำนวน
3
หลัก แทนด้วยเลขฐานแปด 1 หลัก
ดังนั้นเราจึงสามารถเขียนเลขฐานสอง
6 บิท แทนด้วยเลขฐานแปด 2
บิท การใช้เลขฐานแปดแทนเลขฐานสองทำให้จำนวนบิทสั้นลง
เลขฐานสิบ
n
คือตัวเลขที่มีค่าไม่ซ้ำกันสิบหลัก (0,1,2,…,9) เป็นเลขฐานที่มนุษย์คุ้นเคยและใช้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด
ตัวเลขที่มีจำนวนมากกว่า
9 ให้ใช้ 10 ซึ่งเป็นการกลับไปใช้เลข1 และ 0 อีก เพียงแต่ค่าของ 1 เปลี่ยนไปเป็น 10 เท่าของตัวมันเอง เช่น 333
(สามร้อยสามสิบสาม) แม้จะใช้ตัวเลข 3 ทั้งหมด
แต่ตำแหน่งของตัวเลขย่อมมีความหมายตามตำแหน่งของแต่ละหลักนั้น กล่าวคือ
หลักหน่วยน้อยกว่าหลักสิบ
10 เท่า หลักสิบน้อยกว่าหลักร้อย 10
เท่า ตามลำดับ
n
เลขฐานสิบหก
n
เลขฐานสิบหก มีความสัมพันธ์กับเลขฐานสอง คือ
เลขฐานสองจำนวน
4
หลัก แทนด้วยเลขฐานสิบหก 1 หลัก
ดังนั้นเราจึงสามารถเขียนเลขฐานสอง
8 บิทแทนด้วยเลขฐานสิบหก 2
บิท การใช้เลขฐานสิบหกแทนเลขฐานสองทำให้จำนวนบิทสั้นลง
n
ระบบเลขฐานสิบหก (Hexadecimal) ฐานของมันจะมีค่าเป็น 16 ซึ่งจะมีตัวเลขที่ไม่ซ้ำกันอยู่ทั้งหมด16 ตัว คือ 0   1
2   3   4   5   6   7
8   9   A   B   C
D   E   F  (ตัวอักษร6 ตัว แทน ตัวเลข 10 –15 ตามลำดับ)
n
การแปลงเลข 10101011111101 เป็นเลขฐานสิบหกสามารถทำได้โดย
การแบ่งกลุ่ม ๆ ละ
4 บิตดังนี้

                              0010     1010     1111     1101
                จะเห็นว่าถ้าแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4 บิต
จะมีสองบิตบนที่จัดกลุ่มไม่ได้
ให้เติม 0 ไปในกลุ่มนั้นให้ครบ4 บิต จากนั้นแทนค่าตัวเลขแต่ละกลุ่มด้วย
เลขฐานสิบหกดังนี้

                                2            A          F          D

ดังนั้นจะได้ 10101011111101 มีค่าเท่ากับ 2AFD



การแปลงเลขฐานสิบเป็นฐานสอง
n
คำศัพท์ที่จำเป็นต้องทำความรู้จักเพื่อให้เข้าใจตรงกันในการดำเนินการต่างๆ
ในระบบเลขฐานสองมีดังนี้
                                  (1) บิต (bit)
คือหลักแต่ละหลักในระบบเลขฐานสอง เช่น             ประกอบด้วย 3 บิต

            (2) บิตที่มีนัยสำคัญสูงสุด (most
significant bit : MSB)
คือบิตที่อยู่ซ้ายมือสุดเป็นบิตที่มีค่าประจำหลักมากที่สุด เช่น          บิตที่มีนัยสำคัญสูงสุดคือ 1 มีค่าประจำหลักเป็น

            (3)
บิตที่มีนัยสำคัญต่ำสุด
(least significant bit : LSB) คือบิตที่อยู่ขวามือสุดซึ่งเป็นบิตที่มีค่าประจำหลักน้อยที่สุดเช่น            บิตที่มีนัยสำคัญต่ำสุดคือ 0 มีค่าประจำหลักเป็น       ให้สังเกตว่าค่าประจำหลักของบิตที่มีนัยสำคัญต่ำสุดจะมีค่าเป็น เสมอ
ที่มา std.kku.ac.th/4930503320/co

การแปลงเลขฐานสองเป็นฐานสิบ การแปลงเลขฐานสองกลับเป็นเลขฐานสิบต้องอาศัยค่าประจำหลักของแต่ละบิตในเลขฐานสองที่ต้องการแปลง
โดยเราจะแยกตัวเลขในแต่ละบิตมาคูณด้วยค่าประจำหลักแล้วนำผลลัพธ์จากการคูณดังกล่าวมารวมกัน
จะได้เลขฐานสิบที่มีค่าตรงกับเลขฐานสอง
ตัวอย่างที่ 1 แสดงการแปลงเลข           ให้อยู่ในรูปเลขฐานสิบ
                            ตัวอย่างที่
2
แสดงการแปลงเลข              ให้อยู่ในรูปเลขฐานสิบ
การบวกเลขฐานสอง
n
การบวกเลขฐานสองมีหลักการเหมือนกับการบวกเลขฐานสิบที่เราคุ้นเคย
เพียงแต่ตัวเลขในแต่ละหลักของเลขฐานสองจะมีค่ามากที่สุดคือ
1 นั่นหมายความว่าในหลักใดๆ
ที่มี
1 บวกกับ 1 จะได้ผลลัพธ์เป็น 0
และทดค่า 1 ไว้ในหลักถัดไปทางซ้ายดังตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่าง   แสดงการหาค่า 1001 + 1111


                       
ตัวอย่าง   แสดงการหาค่า 1001 + 1111


การลบเลขฐานสอง



รหัสแอสกี

(
American
Standard Code Information Interchange :ASCII)
n
เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากในระบบคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารข้อมูล
รหัสแทนข้อมูลชนิดนี้ใช้เลขฐานสองจำนวน
8 บิตหรือเท่ากับ 1 ไบต์แทนอักขระหรือสัญลักษณ์แต่ละตัว ซึ่ง
หมายความว่าการแทนอักขระแต่ละตัวจะประกอบด้วยตัวเลขฐานสอง
8 บิตเรียงกัน
ซึ่งลำดับของแต่ละบิตเป็นดังนี้

ตัวอย่าง  รหัสแทนข้อมูล
จากหลักการของระบบเลขฐานสอง
แต่ละบิตสามารถแทนค่าได้
2
แบบ คือ เลข 0 หรือเลข 1 ถ้าเราเขียนเลขฐานสองเรียงกัน 2 บิตในการแทนอักขระ
เราจะมีรูปแบบในการแทนอักขระได้      หรือ
4 รูปแบบ คือ 00
, 01 , 10 และ11 ดังนั้นในการใช้รหัสแอสกีซึ่งมี8 บิตในการแทนอักขระแล้ว เราจะมีรูปแบบที่ใช้แทนได้ถึง      หรือ256 รูปแบบ
ซึ่งเมื่อใช้แทนตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้วยังมีเหลืออยู่
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ.
จึงได้กำหนดรหัสภาษาไทยเพิ่มลงไปเพื่อให้ใช้งานร่วมกัน ตามตารางแสดงรหัส
ASCII
                         รหัสแทนข้อมูล
                    คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยหลักการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่แทนสัญญาณทางไฟฟ้าด้วย
ตัวเลขศูนย์และหนึ่งซึ่งเป็นตัวเลขในระบบเลขฐานสอง
แต่ละหลักเรียกว่าบิต (
binary digit : bit)
 และเมื่อนำตัวเลขหลาย ๆ บิตมาเรียงกัน จะใช้สร้างรหัสแทนความหมายจำนวน
หรือตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยได้
และเพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อความระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์เป็นไปในแนวเดียวกัน
จึงมีการกำหนดมาตรฐานรหัสตัวเลขในระบบเลขฐานสอง
สำหรับแทนสัญลักษณ์เหล่านี้
รหัสมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากมีสองกลุ่มคือ
                 เลข 0 และ 1ในระบบฐานสองแต่ละตัว
เรียกว่าบิต (
bit) ย่อมาจากคำว่าBinary Digi บิตเป็นหน่วยเล็กที่สุดในการเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์
แต่เนื่องจากบิตเดียวไม่สามารถเก็บข้อมูลตัวเลขตัวอักษร และสัญลักษณ์พิเศษต่าง ๆ
ได้ครบ ดังนั้นจึงต้องรวมบิตหลายบิตเข้าเป็นกลุ่มเรียกว่าไบต์
(byte) แต่ละไบต์จะแทนอักษรหนึ่งตัว
ความจุของหน่วยความจำและความจุของที่เก็บข้อมูลสำรองในคอมพิวเตอร์
ซึ่งหน่วยของความจุที่เก็บข้อมูลจะมีหน่วยเป็นหน่วยของไบต์
และหากมีความจุสูงก็อาจใช้หน่วยความจุเป็นกิโลไบต์ (
Kilobyte) โดยหนึ่งกิโลไบต์มีค่าเป็น 1,024 ไบต์ ใช้สัญลักษณ์ KB
หรือ K แทน (บางครั้งอาจใช้ค่าประมาณ1 กิโลไบต์(ประมาณ 1,000 ไบต์) ดังนั้นถ้าหน่วยความจำขนาด 640 กิโลไบต์
จะเก็บข้อมูลได้
640 x 1,024 หรือ 655,360 ไบต์ นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจุเป็นเมกะไบต์
                     ปัจจุบันนี้ หน่วยความจำมีความจุมากขึ้นจนอยู่ในหน่วยของจิกะไบต์ (Gigabyte) ซึ่งมีค่าเป็น 1,024
x1,024 x1,024 ไบต์ หรือ 1,073,741,824 ไบต์
ใช้สัญลักษณ์
GB หรือ G แทน
(บางครั้งอาจใช้ค่าประมาณ
1 จิกะไบต์ ประมาณ
1,000,000,000 ไบต์ หรือหนึ่งพันล้านไบต์)
ในเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าจะมีหน่วยความจำหลักเพียง
640 กิโลไบต์
แต่ในเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ จะมีหน่วยความจำหลักที่มีความจุตั้งแต่
8 เมกะไบต์ ถึง 32 เมกะไบต์ หรือมากกว่านี้ ส่วนในเครื่องเมนเฟรมจะมีหน่วยความจำที่มีความจุถึงหน่วยของจิกะไบต์
นอกจากนี้ ในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์
                         ในทางทฤษฎีแล้วผู้ใช้สามารถกำหนดรหัสแทนอักขระใด ๆ
ได้เองจากกลุ่มของเลขฐานสอง
8 บิต
แต่ในความเป็นจริงนั้นทำไม่ได้
เพราะหากทำเช่นนั้นอาจเกิดปัญหาระหว่างเครื่องสองเครื่องที่ใช้รหัสต่างกัน
เปรียบเทียบได้กับคนสองคนคุยกันคนละภาษา
ดังนั้นจึงควรมีการกำหนดรหัสแทนข้อมูลที่เป็นสากล เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง
ๆ สามารถสื่อสารกันได้ รหัสแทนข้อมูลที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน 

รหัสเอ็บซีดิก (EBCDIC)
 เป็นคำย่อมาจาก Extended Binary Coded Decimal Interchange Code พัฒนาและใช้งานโดยบริษัทไอบีเอ็ม
เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมของไอบีเอ็มยังคงใช้รหัสนี้
                             รหัสแอสกี(ASCII)
             เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากในระบบคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่
เป็นคำย่อมาจาก
American Standard Code Information Interchange เป็นรหัส 8 บิต แทนสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้ 256 ตัว เมื่อใช้แทนตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้วยังมีเหลืออยู่
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ได้กำหนดรหัสภาษาไทยเพิ่มลงไปเพื่อให้ใช้งานร่วมกันได้
 การแทนข้อมูลในหน่วยความจำ

                
หน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์เป็นที่เก็บข้อมูลและคำสั่งในขณะประมวลผล
การเก็บข้อมูลในหน่วยความจำเป็นการเก็บรหัสตัวเลขฐานสอง
ข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลทั้งตัวเลขหรือตัวอักษรจะได้รับการแทนเป็นตัวเลขฐานสอง
แล้วเก็บไว้ในหน่วยความจำ เช่น ข้อความว่า
BANGKOK เก็บในคอมพิวเตอร์จะแทนเป็นรหัสเรียงกันไป
              หน่วยความจำของไมโครคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ มีขนาดความกว้าง 8
บิต และเก็บข้อมูลเรียงกันไป โดยมีการกำหนดตำแหน่งซึ่งเรียกว่า
เลขที่อยู่ (
address)

เพื่อให้ข้อมูลที่เก็บมีความถูกต้อง ข้อมูล
วิธีที่ง่ายและนิยมใช้กันคือการเพิ่มอีก
1 บิต เรียกว่า
บิตพาริตีที่เพิ่มเติมเข้าไปจะทำให้ข้อมูลทั้งหมดในส่วนนั้นมีเลข
1 เป็นจำนวนคู่ หรือจำนวนคี่ เช่น
       ในไมโครคอมพิวเตอร์เพิ่มอีก1 บิต เพื่อทำให้เลขหนึ่งเป็นจำนวนคู่ เรียกว่าพาริตีคู่ (even
parity) บิตพาริตีที่เติมสำหรับข้อมูลตัวอักษร A และ E เป็นดังนี้
A 01000001 0 <-- บิตพาริตี
E 01000101 1 <-- บิตพาริตี
ข้อมูลA มีเลข1 สองตัว ซึ่งเป็นจำนวนคู่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงใส่บิตพาริตีเป็นเลข
0

ข้อมูล E มีเลข 1 เป็นจำนวนคี่
จึงใส่บิตพาริตีเป็น
1 เพื่อให้มีเลข 1 เป็นจำนวนคู่
                ข้อความ BANGKOK เมื่อเก็บในหน่วยความจำหลักของไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีบิตพาริตีด้วย 
       
หน่วยควบคุมของคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในซีพียู ทำการอ่านคำสั่งจากหน่วยความจำมาแปลความหมายและกระทำตาม
คำสั่งคอมพิวเตอร์พื้นฐานที่สุดเรียกว่า ภาษาเครื่อง (
machine langauge) ภาษาเครื่องมีลักษณะเป็นรหัสที่ใช้ตัวเลขฐานสอง
ตัวเลขฐานสองเหล่านี้แทนชุดรหัสคำสั่ง คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งมีคำสั่งที่ใช้ได้หลายร้อยคำสั่ง
แต่ละคำสั่งจะมีความหมายเฉพาะ เช่น คำสั่งนำข้อมูลที่มีค่าเป็น
3 จากหน่วยความจำตำแหน่งที่ 8000 มาบวกกับข้อมูลที่มีค่าเป็น5 ในตำแหน่งที่ 8001 ผลลัพธ์ที่ได้ให้เก็บไว้ในหน่วยความจำตำแหน่งที่8002 เมื่อเขียนคำสั่งเป็นภาษาเครื่องจะมีลักษณะเป็นตัวเลขฐานสองเรียงต่อกันเป็นจำนวนมาก

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แนะนำสมาชิกในกลุ่ม

1 ด.ช.กฤษณา คำตัน เลขที่ 17 ชั้น ม.3/4

2 ด.ช.ธนพล นารถน้ำพอง เลขที่ 18 ชั้น ม.3/4

3 ด.ช.ปลอดประสพ  ทิพระษาหาร  เลฃที่34 ม.3/4